วันอังคาร, มิถุนายน 24, 2551

นิทนี่ ๒ ขวบแล้วนะ




๓๑ พ.ค.๕๑ นิทนี่ ๒ ขวบ
๒ ปีแล้ว ที่คนตัวน้อยๆ คนนึงเข้ามาในชีวิตพ่อเต้ยกะแม่ฝ้าย
ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด (แต่ในทางที่ดีนะ)
ทำให้เราเป็นครอบครัวมากขึ้น
สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ
ขอให้ลูกโตขึ้นเป็นคนดี มีความสุข พ่อกับแม่จะทำทุกอย่างเพื่อเกื้อหนุน
จากพ่อกับแม่

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 25, 2551

เที่ยวชะอำ งานเลี้ยงรุ่น

๑๗ พ.ค.๕๑ เลี้ยงรุ่น จปร.๓๙ ก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวกัน
จัดที่โรงแรมสวนบวกหาดชะอำ
คณะกรรมการจัดได้ดีมาก มีกิจกรรมไม่มากไม่น้อยเกินไป ทุกคนสนุกกัน
นิทนี่ก็ได้เล่นทรายที่ชายหาด แต่ไม่กล้าลงนำ้ เหมือนพ่อเต้ยตอนเด็กเลย เพราะเรามันเด็กดอย (ลำปาง)
ส่วนนิทนี่ก็ชาวสวน กลัวทะเลเป็นธรรมดา
ตอนกลางคืนงานเลี้ยง นิทนี่ก็สนุกมาก กระโดดโลดเต้นกะเด็กอื่นๆ จนติดหวัดเขามา น้ำมูกไหลอยู่ตอนนี้ แต่ดีที่ไม่มีไข้















ที่โรงแรม














เล่นนำ้ นิทนี่ไม่กล้าลงไปที่ลึก













เล่นทรายกับพี่ปาล์มมี่ ลูกป๊ะ














เล่นกับเด็กๆ ที่งานเลี้ยง



















แม็คโดนัลด์ที่หัวหิน



















วันพฤหัสบดี, มีนาคม 27, 2551

บริจาคโลหิต





รพ.พระมงกุฏฯ มารับบริจาคโลหิตที่ ยก.ทบ.
พ่อเต้ยก็บริจาคด้วย ได้บริจาค ๔ ถุง เพราะบริจาคมาหลายครั้งแล้ว หมอก็เลยให้บริจาคได้เยอะหน่อย
บางคนที่เพิ่งบริจาคได้ไม่กี่ครั้ง ก็จะได้แค่ ๒ ถุง
กะไว้ว่าจะบริจาคให้ได้สัก ๑๐๐ ครั้ง ลองคำนวณดู ถ้าบริจาค ๓ เดือนครั้ง ก็ ปีละ ๔ ครั้ง
อีกราว ๒๐ ปี น่าจะได้ครบ ๑๐๐ คงเกษียณอายุพอดี



วันอังคาร, มีนาคม 11, 2551

สุขสันต์วันเกิดแม่ฝ้าย



สำหรับคนที่สำคัญที่สุดในครอบครัวเรา
แม่ฝ้ายเสียสละและทำทุกอย่างให้เราอยู่สบาย
แม่ฝ้ายทำให้พ่อเต้ยเข้มแข็งขึ้น
ชดเชยสิ่งดีดีให้กับสิ่งที่พ่อเต้ยไม่ดี

พวกเราจะทำให้ดีที่สุดให้แม่ฝ้ายมีความสุขนะ
นิทนี่และพ่อเต้ยจะไม่ซน แม่ฝ้ายจะได้เหนื่อยน้อยลง

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 06, 2551

ชื่อลูก (๓)

อีกความหมายหนึ่งที่มีการใช้ชื่อ Nittany ก็คือการใช้เป็นสัญญลักษณ์ทีมกีฬา (mascot) ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลวาเนีย (The Pennsylvania State University หรือ Penn State) โดยเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี ๑๙๐๔ (๒๔๔๗) ตอนที่นักกีฬาเบสบอล Penn State ไปแข่งที่ ม. Princeton ที่มีเสือเป็นสัญญลักษณ์ประจำทีม (Princeton Tigers) นักเบสบอล Penn State คนหนึ่งชื่อ แฮริสัน "โจ" เมสัน ก็เลยบอกว่า Penn State ก็มีสิงโตภูเขาเป็นสัญญลักษณ์ (Penn State Nittany Mountain Lion) และก็เป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและเก่งกาจ เอาชนะได้แม้แต่เสือของ Princeton ดังนั้น Penn State จึงได้สัญญลักษณ์ประจำทีมตั้งแต่บัดนั้น ส่วนการแข่งเบสบอลในวันนั้น Penn State ก็ได้รับชัยชนะ (ถ้าแพ้คงไม่ได้ใช้ Nittany Lion เป็นสัญญลักษณ์แล้ว)

สัญญลักษณ์ Nittany Lions ของ Penn State (เก่า)















สัญญลักษณ์ Nittany Lions ของ Penn State (ใหม่)














รูปปั้น Nittany Lion ที่มหาวิทยาลัย Penn State ตั้งอยู่ตรงข้ามหอพักพ่อเต้ยสมัยเรียนอยู่พอดี ตรงห้องพอดีเลย (ห้อง ๒๐๒ McKee Hall)



















McKee Hall



วันจันทร์, มีนาคม 03, 2551

กล้องครอบครัว

กล้องที่ครอบครัวเราใช้ถ่ายภาพหลักๆ จะมี ๓ กล้อง
กล้องตัวที่ประสิทธิภาพต่ำที่สุดจะใช้บ่อยที่สุด นั่นคือกล้องมือถือนั่นเอง
เพราะพกติดตัวตลอด Nokia N95 (ภาพล่าง)



ถ่ายภาพได้ 5 Megapixels และถ่ายวิดีโอได้ด้วย คุณภาพของภาพสำหรับคนทั่วๆ ไปก็ถือว่าใช้ได้เลย print ออก inkjet ภาพ 4x6 ก็เหมือนภาพถ่ายจากฟิล์มที่เคยถ่ายๆ กันมา โทรศัพท์นี้ตอนแรกพ่อเต้ยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะใช้ Sony Ericsson K750 อยู่แล้วชอบสไตล์การใช้งานของ Ericsson มากกว่า Nokia แต่ได้มาฟรีก็เลยใช้ไป แต่มาได้ใจมันตอนที่ไปถ่ายวิดีโอนิทนี่ขึ้นเวที ด้วย memory 1GB สามารถถ่ายจนจบได้ กลับมาบ้านทุกคนได้ดูสนุกสนาน







ตัวที่สอง 5 Megapixels เหมือนกันแต่เก่ากว่าเยอะ Nikon Coolpix 5900 ซื้อมานานแล้ว ผ่านมาหลายงานก็ยังไว้ใจได้เหมือนเดิม ใช้ถ่ายวิดีโอได้ด้วย แต่ใส่ SD Card ให้มันแค่ 512MB เลยถ่ายได้น้อยไปหน่อย เดี๋ยวไว้จะอัพให้มากขึ้น เพราะราคา SD Card เดี๋ยวนี้ลงมามากแล้ว




ตัวสุดท้ายดีที่สุด เป็นกล้องที่ดีที่สุดที่เคยใช้มา Nikon D80 10 Megapixels คุณภาพยอดเยี่ยม ยิ่งถ้าใช้การ post processing ด้วยโปรแกรมที่ดีๆ เช่น Adobe Lightroom หรือ Apple Aperture แล้วละก็ ภาพที่ได้จะสวยมาก แต่ระดับฝีมือคนใช้อย่างพ่อเต้ยนี่สิ ที่ยังไม่ถึง เพราะมันเป็นงานอดิเรกนั่นเอง เลยไม่ค่อยมีเวลาถ่ายพัฒนาฝีมือเท่าไหร่ ถ่ายได้แต่นิทนี่ เพราะยามว่างก็เลี้ยงนิทนี่เป็นหลัก เดี๋ยวนิทนี่โตแล้วไปเที่ยวกัน ได้ถ่ายบ่อยๆ หรือ พ่อเต้ยแก่ๆ แล้ว มีเวลามากขึ้น ฝีมือน่าจะดีขึ้นได้

วันอาทิตย์, มีนาคม 02, 2551

ปรับปรุงทางเดินเข้าบ้าน

คุณปู่ช่วยทำให้ ทางเดินกว้างขึ้นเยอะเลย ดูดีขึ้นมาก
เมื่อวานก็ไปเลือกแผ่นปูขั้นบันไดกัน นิทนี่ก็ไปช่วยเลือกด้วย
เมื่อเช้าพ่อเต้ยไปสอน คุณปู่ก็ช่วยปูให้เสร็จเรียบร้อยเลย
เดี๋ยวเอาไว้อีกสักพัก ค่อยปูตรงทางเดิน

ก่อนปู


















หลังปู

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 29, 2551

การอ่าน


อ่านจากบทความ/หนังสือต่างๆ เขาว่าควรปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้ลูก จะได้ฉลาด และมีจินตนาการ
จริงๆ นะ เพราะลองมาคิดดู การที่เราอ่านตัวอักษร (text) แล้วนำมานึกเป็นภาพ (picture) ในหัวเราได้ คงต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนมากแน่ๆ แล้วการที่สมองลูกได้ทำอย่างนี้ก็จะเป็นการฝึกสมองให้ลูกได้มากเลย
เดี๋ยวว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ พ่อเต้ยไม่มีสอนเพราะปิดเทอมแล้ว จะพาแม่ฝ้ายกะนิทนี่ไปเดินห้าง หาซื้อหนังสือมาอ่านกันดีกว่า หนังสือชุดแรกๆ ที่ซื้อมาก็หายไปบ้าง นิทนี่ฉีกบ้าง หรือนิทนี่โตเกินระดับหนังสือไปแล้วบ้าง ถึงเวลาซื้อชุดใหม่แล้วเสียที

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 27, 2551

ชื่อลูก (๒)


ความหมายอีกความหมายของ "นิทนี่"

นิทนี่ หรือ นิทานี (Nittany / Nita-Nee) เป็นชื่อของเจ้าหญิงอเมริกันอินเดียน (ที่คนไทยเราเรียกว่าอินเดียนแดงนั่นแหละ) ที่พาชนเผ่าของเธอไปตั้งรกรากในแถบภาคกลางของรัฐเพนซิลวาเนียอันอุดมสมบูรณ์ พ้นภัยจากศัตรูและสภาพอากาศที่โหดร้าย

เมื่อถึงวันที่เธอเสีย ก็มีภูเขาลูกหนึ่งเกิดขึ้นมาที่หลุมฝังศพของเธอ ก็ว่ากันว่าเป็นที่มาของเม้าท์นิทนี่ที่เขียนถึงในตอนที่ ๑ นั่นเอง

(แต่ในภาพคือเจ้าหญิงโพคาฮอนทาส ที่ดิสนี่นำมาทำเป็นการ์ตูนนะ ยืมรูปมาเฉยๆ)

ยังมีความหมายอื่นอีกนะ ไว้ว่ากันตอนต่อไป

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 25, 2551

งานแสดงแรกของนิทนี่

เมื่อวันเสาร์ (๒๓ ก.พ.) รร.เด่นหล้า จัดงานแสดงประจำปี (หรือประจำเทอมก็ไม่รู้ เพราะอยู่ยังไม่ถึงปี) ของเด็กๆ นิทนี่ก็เข้าร่วมแสดงในส่วนของ ตอ.๑๑ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ร่วมเพราะเพิ่งหายป่วย และหยุดโรงเรียนไปหลายวันเลยไม่ได้ซ้อม แต่คุยกะแม่ฝ้ายแล้วและก็ดูอาการก็น่าจะหายแล้วก็เลยให้ร่วม
ไปเชียร์ด้วยกันหมดเลย พ่อแม่ปู่ย่าอาเต็ม

นิทนี่เก่งมาก ร้องไห้ตอนแรกๆ ขึ้นเวที แต่แป๊ปเดียวก็หยุด แล้วก็เริ่มเต้นได้ พ่อเต้ยกะแม่ฝ้ายภูมิใจสุดสุด นิทนี่น่าจะอายุน้อยที่สุดในงานเลย แต่ก็ทำได้ไม่แพ้ใครนะ

แต่งตัวเตรียมไปแสดง คุณปู่มาลุ้นด้วย
















ขึ้นเวที ร้องจ๊าก
















คนอื่นก็ดูไม่แฮปปี้นัก














เย้ เต้นแล้ว





























หลังงาน ปลอบขวัญกันหน่อย ทั้งแม่ทั้งลูก

























กองเชียร์รับขวัญ

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 22, 2551

นิทนี่ - Nittany

ชื่อของลูก ต้องมีคนถามนิทนี่อยู่เรื่อยๆ แน่เลยว่าแปลว่าอะไร
มีหลายความหมายมาก นำไปใช้หลายที่
เช่น เป็นภาษาอเมริกันอินเดียนในแถบเซ็นทรัลเพนซิลวาเนีย แปลว่า ภูเขาลูกหนึ่ง (a single mountain) หรือบางความหมายก็แปลว่าเป็นกำแพงป้องกันจากสภาวะแวดล้อม (ซึ่งจริงๆ ก็น่าจะหมายความว่าหุบเขาหรือภูเขาที่ป้องกันลม/หิมะนั่นเอง)
ซึ่งต่อมาชาวตะวันตกที่ไปตั้งรกรากแถบนั้นก็ใช้เป็นชื่อของภูเขาที่กั้นระหว่างหุบเขาเพนส์ (Penns Valley) กับหุบเขานิทนี่ (Nittany Valley) ก็เรียกว่า Mount Nittany (ในรูป)

นอกจากนี้ยังมีความหมายอื่นๆ อีก ไว้ค่อยมาต่อวันหลัง

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 20, 2551

พิธีประดับยศ


เมื่อเช้าพ่อเต้ยเข้าพิธีประดับยศเป็นพันเอก
พล.ต.อักษรา เกิดผล เจ้ากรมยุทธการทหารบกเป็นผู้ประดับให้
มี ผอ.กอง เข้าร่วมด้วย

ก็ต้องถามตัวเองว่าได้ยศที่สูงขึ้นแล้วจะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้คู่ควร
"be worthy, not respectable"

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 19, 2551

นิทนี่ชอบปลา



ปู่กับย่าซื้อปลาสวยงามมาเพราะนิทนี่ชอบ นิทนี่ชอบดูและให้อาหารปลา จะให้อาหารตลอด จนพ่อเต้ยต้องเตือนว่าเดี๋ยวปลาจะอ้วน
แล้วช่วงนี้ก็อากาศเปลี่ยน นิทนี่ก็มีนำ้มูก ไม่รู้ติดพ่อรึเปล่า วันนี้ก็เลยไม่ไปโรงเรียน ยายก็ซื้อยามาให้แล้ว

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 17, 2551

วันอาทิตย์

วันอาทิตย์เช้า พ่อเต้ยไปสอน ม.รังสิต นิทนี่กับแม่ฝ้ายขับรถไปส่งกับไปรับ สอนเสร็จก็ไปกินข้าวกันที่ร้านเรือนหงส์ (เมื่อก่อนคือเรือนหอ) เป็นอาหารจีน อร่อยจัง โดยเฉพาะเส้นใหญ่ลาดหน้าปลาเต้าซี่ ของโปรดพ่อเต้ยเลย ช่วงนี้ลาภปาก เพราะเมื่อวาน ที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ก็พาไปเลี้ยงบัฟเฟ่อาหารญี่ปุ่น ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ก็อร่อยมาก เลยบอกกับแม่ฝ้ายไว้ว่าวันหลังจะพาไปกิน

กินเสร็จไปรับแบตเตอรี่เครื่องแม็คบุ๊คของแม่ฝ้ายที่เคลมเอาไว้เพราะมันเสื่อม ชาร์จไม่เข้า ตอนนี้ก็ใช้งานได้ปกติแล้ว ในภาพก็คือแม่ฝ้ายกับเครื่อง MacBook คู่ใจ

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 15, 2551

โจ พาเทอร์โน


เป็นโค้ชทีมฟุตบอล (อเมริกัน) มหาวิทยาลัย Penn State ที่พ่อเต้ยเรียน ป.โท/ป.เอก
เป็นที่เคารพนับถือมากในวงการฟุตบอลมหาวิทยาลัย เนื่องจากเป็นโค้ชที่เก่ง แต่ที่สำคัญคือ สามารถทำให้ทีมชนะ ทำให้ผู้เล่นประสบความสำเร็จทั้งในสนามและนอกสนาม และเป็นที่ยอมรับของทุกคนว่าทำโดยไม่เคยทำผิดกฎเกณฑ์เลย
ซึ่งต่างจากทีมมหาวิทยาลัยอื่นบางทีมที่เก่ง แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโกง
(เช่น จ่ายเงินผู้เล่น หรือ ปล่อยเกรดให้เรียนผ่าน)

คนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างขาวสะอาดนั้นมีน้อย เพราะฉะนั้น คำพูดของคนเหล่านี้ถือว่ามีค่า น่าฟัง เอาละ ลองฟังสิ่งที่ เขาพูดไว้บางอย่างดู

"Believe deep down in your heart that you're destined to do great things."
จงเชื่อมั่นว่าเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

"Besides pride, loyalty, discipline, heart, and mind, confidence is the key to all the locks."
นอกจากความภาคภูมิ, ความจงรักภักดี, วินัย, ใจ และสมองแล้ว ความมั่นใจคือหัวใจสำคัญของทุกสิ่ง

"Losing a game is heartbreaking. Losing your sense of excellence or worth is a tragedy."
แข่งกีฬาแพ้นั้นน่าเสียใจมาก แต่การสูญเสียจิตสำนึกในการที่จะทำให้ดีที่สุดนั้นถือเป็นโศกนาฏกรรม

"Success without honor is an unseasoned dish; it will satisfy your hunger, but it won't taste good."
ความสำเร็จที่ได้มาโดยวิธีอันมิชอบนั้นเปรียบเสมือนการกินอาหารที่ไม่ได้ปรุงรส ทำให้อิ่มได้ แต่ไม่อร่อย

"The minute you think you've got it made, disaster is just around the corner."
ทันทีที่เราคิดว่าทุกอย่างราบรื่นเรียบร้อย หายนะกำลังรออยู่แยกหน้า

"The will to win is important, but the will to prepare is vital."
ความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะนั้นมีความสำคัญแต่ความมุ่งมั่นที่จะเตรียมการนั้นมีความสำคัญยิ่งยวด

"You have to perform at a consistently higher level than others. That's the mark of a true professional."
เจ้าต้องปฏิบัติให้เหนือกว่าคนอื่นอย่างสม่ำเสมอ นี่คือสิ่งที่บ่งชี้ถึงความเป็นมืออาชีพ

"You need to play with supreme confidence, or else you'll lose again, and then losing becomes a habit."
เจ้าต้องเล่นด้วยความมั่นใจสูงสุด มิฉะนั้นก็จะแพ้อีก แล้วความพ่ายแพ้ก็จะกลายเป็นนิสัย

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 14, 2551

การเลี้ยงลูก


ช่วงเวลาของการเลี้ยงลูกตอนลูกเด็กๆ นั้น เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่า
เพราะเขาจะเป็นเด็กอยู่ไม่นาน เด็กโตเร็วมาก

เพราะฉะนั้นเราควรซาบซึ้งกับช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด ทำให้ดีที่สุด ให้ความรักลูกมากๆ และที่สำคัญ สนุกสนานกันทั้งครอบครัว








บทเพลงของ Aerosmith
"I Don't Want to Miss a Thing"

I could stay awake just to hear you breathing
Watch you smile while you are sleeping
While you're far away and dreaming
I could spend my life in this sweet surrender
I could stay lost in this moment forever
Well, every moment spent with you
Is a moment I treasure

I don't wanna close my eyes
I don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, baby
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream would never do
I'd still miss you, baby
And I don't wanna miss a thing

Lying close to you
Feeling your heart beating
And I'm wondering what you're dreaming
Wondering if it's me you're seeing
Then I kiss your eyes and thank God we're together
And I just wanna stay with you
In this moment forever, forever and ever

I don't wanna close my eyes
I don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, baby
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream would never do
I'd still miss you, baby
And I don't wanna miss a thing

I don't wanna miss one smile
I don't wanna miss one kiss
Well, I just wanna be with you
Right here with you, just like this
I just wanna hold you close
Feel your heart so close to mine
And just stay here in this moment
For all the rest of time

Don't wanna close my eyes
Don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, baby
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream would never do
'Cause I'd still miss you, baby
And I don't wanna miss a thing
I don't wanna close my eyes
I don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, baby
And I don't wanna miss a thing

'Cause even when I dream of you
The sweetest dream would never do
I'd still miss you, baby
And I don't wanna miss a thing
Don't wanna close my eyes
Don't wanna fall asleep, yeah
I don't wanna miss a thing

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 13, 2551

วันทดสอบร่างกาย


วันนี้ทดสอบร่างกายครั้งที่ ๑ ของปี ๕๑
พ่อเต้ยแก่ลงอีก ๑ ปี ได้ไปอยู่กลุ่มอายุใหม่ กลุ่ม ๓๗ ปีขึ้นไป คะแนนก็ง่ายขึ้นหน่อย
คือ ยึดพื้น เกณฑ์ผ่าน ๒๒ ทำได้ ๔๐
ลุกนั่ง เกณฑ์ผ่าน ๒๕ ทำไปได้ ๔๐ กว่าๆ ลูกน้องคนคุมบอกให้หยุด "พอแล้วหัวหน้า" เลยอดทำต่อ
วิ่ง ๒ กม. เกณฑ์ผ่าน ๑๓ นาที น่าจะได้ประมาณ ๑๐ นาที ตอนเข้าเส้นไม่ทันได้ฟังเวลา

ก็เป็นอันว่าผ่านไปอย่างเรียบร้อย เย็นนี้ต้องฉลองซะหน่อยด้วยเบียร์เย็นๆ กะแม่ฝ้าย
ตอนแรกนึกว่าจะแย่ เพราะเพิ่งหายป่วย ตอนนี้ยังไออยู่เลย แต่จริงๆ เกณฑ์ผ่านก็ไม่ได้ยากเลย
เดี๋ยวไว้ปลายปีจะฟิตกว่านี้ ทำให้ได้ดีกว่านี้

เมื่อวานเข้าไปเช็คเว็บของ สบ.ทบ. ก็เจอข่าวดี คำสั่งติด พ.อ. ของพ่อเต้ย ปล.กห. ลงนามแล้ว นิทนี่ก็เป็นลูกสาวนายพันเอกไปแล้ว

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 12, 2551

คนไปส่งลูกไปโรงเรียน


แม่ฝ้ายไม่ต้องไปส่งไปรับนิทนี่แล้ว
พอตามาอยู่ ตาก็ไปส่งไปรับให้ ย่าก็ว่าจะไปด้วย
ไปส่งกันวันแรกก็ร้องไห้กันทั้งย่าทั้งหลาน นิทนี่ก็หยุดไปหลายวัน ก็เลยโยเยหน่อย
แต่เดี๋ยวก็น่าจะปรับกันได้
ไปโรงเรียนแล้วก็ดูดีนะ นิทนี่ดูมีพัฒนาการมากขึ้น ทั้งๆ ที่ก็เร็วอยู่แล้ว แต่พอได้ไปเจอเพื่อนๆ มีครูสอน ก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมละมัง เดี๋ยวนี้ร้องเพลงจบเป็นเพลงๆ เลย เมื่อคืนก็ร้อง happy birthday ใหญ่เลย

(ภาพขวามือ ไปเที่ยวฟอร์จูนกัน พ่อแม่เลือกซื้อกระเป๋าใส่คอม ได้เป้แดงมานั่นแหละ ลูกก็ขี่แพะแบกม้ารอ)

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 10, 2551

ตามาช่วยเลี้ยงนิทนี่


ตามาช่วยเลี้ยงนิทนี่ จะอยู่จนกระทั่งนิทนี่เข้าโรงเรียนอนุบาล
จะช่วยไปรับให้ตอนเย็น จะได้รับกลับเร็วหน่อย เพราะแม่ฝ้ายไปรับก็ออกได้เร็วสุด ๔ โมง รับนิทนี่ได้ ๔ โมงครึ่ง กลับบ้านเป็นคนเกือบสุดท้ายของห้อง แถมแม่ฝ้ายยังต้องโดดงานด้วย

ตามาก็ช่วยได้เยอะเลย แต่ตาก็ช้าลงไปเยอะ ช่วงปีสองปีมานี่ เพราะเป็นพาร์คินสัน แต่ก็พยายามออกกำลังกาย ก็รู้สึกว่าดีขึ้น มาอยู่กับเราก็อาจจะดี ได้มีกิจกรรมเลี้ยงหลาน ก็น่าจะ active ขึ้น

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 08, 2551

วันศุกร์แล้ว

วันศุกร์แล้ว... คำนี้สำหรับคนส่วนใหญ่น่าจะฟังแล้วรู้สึกดี
แต่สำหรับคนทำงานวันเสาร์ (สอนเช้าบ่่าย) ก็อาจจะฟังแล้วรู้สึกตรงข้าม
แต่เสาร์นี้เป็นเสาร์สุดท้ายก่อนปิดเทอมแล้ว ได้พักช่วงซัมเมอร์ไปอีก ๒-๓ เดือน เฮ้อออ

เย็นนี้่กลับไปเอาของที่บ้านแล้วไปบ้านรามอินทรา เพราะนิทนี่อยู่โน่น ไปหาหมอ เพราะท้องเสียเล็กน้อย แต่โทรเช็คล่าสุดน่าจะโอเคแล้ว กินได้ ร่าเริงตามปกติ แต่กลัวรถติดจัง ไม่รู้จะไปถึงบ้านนู้นซักกี่โมง

วันอาทิตย์นี้ก็ว่าง เพราะให้ชองไปคุมสอบแทนให้ที่ ม.รังสิต เป็นวันครอบครัวซะที หลังจากไม่รู้กี่วันที่ทำงานมาตลอดไม่มีวันหยุดเลย

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 07, 2551

พ่อเต้ยป่วยและเข้าเวรอีก


เจ็บคอจัง! เมื่อคืนตื่นมาตีสามปลุกแม่ฝ้ายด้วย งองแง ขอน้ำอุ่นกิน
คืนนี้เข้าเวรอีกเพราะน้องมาขอแลก ก็ดี เพราะครั้งหน้าจะต้องเข้าวันศุกร์ แลกมาเข้าวันนี้ได้ก็กำไรนิดหน่อย
ยายต้อยมาบ้าน ช่วยดูนิทนี่เพราะโรงเรียนหยุดวันตรุษจีน ก็เลยได้ยายายมาช่วยประทัง ยานี้ดีกินแล้วหายชะงัดแน่

ตะกี้ยายโทรมา ให้นิทนี่พูดด้วย ก็พ่อจ๋ามาตามสาย นี่คุยโทรศัพท์กันได้แล้วนะนี่

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 05, 2551

อากวาง


เมื่อวานประชุมด้วยกัน วันนี้เลยพูดถึงอากวางดีกว่า
อากวางเป็นรุ่นน้องพ่อเต้ยรุ่นนึง เตรียมทหาร ๒๙ (พ่อเต้ย ๒๘) แต่แก่กว่าพ่อเต้ยปีนึง

อากวางเรียนจบที่โรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์ส ประเทศอังกฤษ ที่เดียวกับฟ้าชายเฮนรี่เรียนนั่นแหละ เขาได้ทุนไปเหมือนพ่อเต้ย แต่พ่อเต้ยจบ VMI ที่อเมริกา

นอกจากจะเก่งแล้ว อากวางเป็นคนอัธยาศัยดี คุยสนุก ใครไปหรือจัดปาร์ตี้ เชิญอากวางด้วยรับรองไม่ผิดหวัง

เป็นคนที่มีส่วนรับผิดชอบกับการแต่งงานของพ่อเต้ยกับแม่ฝ้ายเหมือนกัน
ตั้งแต่ที่พ่อเต้ยสอบเข้าชื่อไปปฏิบัติงานกับ UN ที่เกาหลี สอบได้เป็นลำดับ ๑
แต่สละสิทธิ์ เพราะต้องทำงานวิจัยกับ NECTEC ผลสุดท้ายอากวางได้ไปแทน
พ่อเต้ยอยู่เมืองไทย ก็เลยได้เจอแม่ฝ้าย

พอพ่อเต้ยแม่ฝ้ายแต่งงานกัน ก็อากวางนี่แหละเป็นพิธีกรงานแต่งให้ คู่กับน้าเจนนี่ซึ่งเป็นเพื่อนแม่ฝ้าย
ก็พยายามให้สองคนเค้าปิ๊งกัน แต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่รู้ใครไม่ปิ๊งใคร อากวางก็เลยยังคงเป็นโสดอยู่ ณ วันที่เขียนนี้ แต่ถ้าอากวางแต่งงาน จะรีบมาอัพเดท

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 04, 2551

จุดมุ่งหมายของการทำงาน

วันจันทร์ พ่อเต้ยทำงานตามปกติ จริงๆ ก็ทำตั้งแต่เมื่อวาน แต่เหตุการณ์ไม่มีอะไร เลยค่อนข้างว่าง ถือว่าได้พักผ่อนไป
เมื่อเช้าวิ่งรอบ บก.ทบ. ๓ รอบ รอบละ ๘๐๐ เมตร ก็รวม ๒.๔ กิโล เหนื่อยกำลังพอดี
เทียบกะสมัยก่อนคงไม่ได้ สมัยเรียน ที่วิ่งเช้าเย็น ทีละ ๕.๕ ไมล์ รวมวันละ ๑๑ ไมล์ (ราว ๑๘ กม.) แถมยังเล่น weight ต่อ ฟิตจริงๆ ก็ถือว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป การปฏิบัติก็เปลี่ยนไป

เหมือนกับการทำงานที่จุดมุ่งหมายในการทำงานของคนเราจะเปลี่ยนไปไหมถ้าเวลาเปลี่ยนไป เช่น ตอนที่ยังโสด ตอนที่แต่งงานใหม่ๆ ตอนที่มีลูกเล็ก ตอนลูกโตแล้ว กับตอนใกล้เกษียณ คนเราจะมีจุดมุ่งหมายในการทำงานเหมือนกันไหม ... ก็น่าจะไม่เหมือนกันนะ เท่าที่สังเกตุ จะมีคนพูดเสมอว่าตอนเด็กๆ (หมายถึงตำแหน่งเล็กๆ) จะมีอุดมการณ์แรงกล้า แต่พอตอนโตขึ้นอุดมการณ์หายไปไหนหมด อาจจะไม่ได้เป็นว่าอุดมการณ์หายไป แต่จุดมุ่งหมายของการทำงานหรือของชีวิตเปลี่ยนไปต่างหาก

ที่อ่านมาบางที่ เขาบอกว่าต้องกำหนดจุดมุ่งหมายของชีวิตไว้แล้วก็เดินทางไปถึงจุดนั้น แต่ทีนี้ก็ต้องถามว่าจุดมุ่งหมายที่ว่านี้มันจะเปลี่ยนไปไหม ก็น่าจะต้องเปลี่ยนนะเพราะความจำเป็น/สถานการณ์ในชีวิตคนเราก็ต้องเปลี่ยนไป แล้วถ้ามันเปลี่ยน เส้นทางเดินที่กำหนดไว้ก็ต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย สรุปแล้ว จุดมุ่งหมาย/แนวทางดำเนินชีวิตที่กำหนดไว้แต่แรกนั้น สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยน
แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าจะต่อต้านการกำหนดจุดหมายนะ อย่างน้อยการกำหนดจุดหมายก็น่าจะยังดีกว่าการไม่มีแผนอะไรเลย ถึงแม้แผนนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีแนวทางเดินที่เกิดจากการคิดกลั่นกรองมาแล้วบ้าง

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 03, 2551

พ่อเต้ยเข้าเวร

"หากแม้นมีวาสนา ถึงอยู่ห่างพันลี้ยังส่งกระแสจิตถึงกัน
หากไร้วาสนาผูกพัน ถึงอยู่ตรงหน้าก็ไม่พบพาน"

วันนี้วันอาทิตย์ พ่อเต้ยเข้าเวร เลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะเมื่อวานก็สอนทั้งวัน
เมื่อวานนิทนี่ไปหาหมอ เสียงแหบ เพราะคงไปออกเสียงมากที่โรงเรียน (ไม่รู้ว่าเล่นหรือร้องไห้)
หมอบอกว่าคอแดง เลยให้ยามากิน นิทนี่กินยาง่ายมาก ไม่มีปัญหาเลย เมื่อคืนนิทนี่เลยหลับปุ๋ย
เช็คเสียงล่าสุดเมื่อเช้า ก็เกือบปกติแล้ว

หมอก็พูดตรงกับที่อ่านๆ มา คือ ถ้าเอาลูกเข้าโรงเรียนก็ต้องทำใจว่าจะต้องมีป่วยกลับมาบ้าง เพราะเด็กหลายคนอยู่รวมกันก็ต้องติดกัน

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 01, 2551

นิทนี่ขวบแปดเดือนแล้ว



วันนี้วันศุกร์ นิทนี่ ขวบแปดเดือนเต็มเมื่อวาน
นิทนี่เข้าโรงเรียนตั้งแต่วันจันทร์ ต้องปรับตัวกันพอสมควร

พูดถึงการเข้าโรงเรียนของลูก ก็เป็นการตัดสินใจที่ยากมากสำหรับหัวอกคนเป็นพ่อแม่
จะให้อยู่ที่บ้าน ก็กลัวอันตรายทีอาจเกิดได้ นิทนี่่ซนมาก เคลื่อนไหวไม่หยุดเลย คุณปู่คุณย่าตามไม่ทัน
วีพี่เลี้ยงก็ต้องทำงานบ้านด้วย
ให้เข้าโรงเรียนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด




การเลือกโรงเรียนก็ไม่ได้ใช้เวลาในการเลือกมากมาย ฝ้ายเขาเปรียบเทียบระหว่าง nursery ใกล้ที่ทำงาน กับอนุบาลเด่นหล้า ซึ่งเคยพานิทนี่ไปดูก่อนหน้านี้ ๒ ครั้งแล้ว - นิทนี่ชอบมาก

ดู nursery แล้วฝ้ายเขาไม่ประทับใจเท่าเด่นหล้า ก็เลยเด่นหล้านั่นแหละ ก็เหมือนเลือกคนที่ค่อนข้างรู้จักคุ้นเคยกัน คุยกับคุณครูแล้วก็ดูดี ค้นคว้าตามเว็บไซต์เว็บบอร์ดต่างๆ ดูแล้ว เด่นหล้าก็น่าจะ ok

แต่ถึงยังไง การทิ้งลูกไว้กับคนอื่น วันละ ๘​ ชม. คนเป็นพ่อก็รู้สึกเป็นห่วงกังวลอยู่บ้าง แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของเขา

ไปอ่านดูในเว็บเหมือนกันเรื่องผลกระทบของ daycare, preschool ที่มีต่อเด็ก
มีงานวิจัยเยอะเต็มไปหมดของฝรั่ง ผลออกมาก็เหมือนงานวิจัยทั่วๆ ไป คือ มีผลขัดแย้งกันเต็มไปหมด เพราะสภาพแวดล้อมการวิจัยไม่เหมือนกัน สุดท้าย ทำให้งงมากขึ้นรึเปล่าไม่รู้

แต่อย่างน้อยที่สรุปได้ก็คือ มีคนหัวอกเดียวกับเรามากมาย จนต้องมีการศึกษาวิจัยพวกนี้ออกมา
แต่ถ้าใช้หลักธรรมะที่พ่อเคยสอนก็คือ ทุกอย่างมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย และเป็นเช่นนั้นเอง
ผสมกับหลักการของเราเองที่ว่า ดูก่อนว่าต้องทำอะไร แล้วจึงทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ส่วนอื่นๆ เราควบคุมไม่ได้ แต่เราควบคุมใจเราไม่ให้เป็นทุกข์ตามมันได้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน